สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก หรือที่นิยมเรียกอย่างทั่วไปว่า สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (อังกฤษ: Amphibians) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในชั้น Amphibia อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก มีลักษณะเฉพาะ คือ ผิวหนังมีต่อมเมือกทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นตลอดเวลา ผิวหนังเปียกลื่นอยู่เสมอ ไม่มีเกล็ดหรือขน หายใจด้วยเหงือก, ปอด, ผิวหนัง หรือผิวในปากในคอ โดยชั้นผิวหนังนั้นมีลักษณะพิเศษสามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้เนื่องจากมีโครงข่ายหลอดเลือดฝอยจำนวนมาก เพื่อใช้ในการหายใจ[1] สืบพันธุ์โดยการผสมพันธุ์ภายนอกลำตัว สืบพันธ์เมื่ออายุ 2–3 ปี ออกลูกเป็นไข่อยู่ในน้ำ ไม่มีเปลือก วางไข่เป็นกลุ่มในน้ำมีสารเป็นวุ้นหุ้ม
ลูกอ่อนที่ออกจากไข่มีรูปร่างคล้ายปลาเรียกว่า "ลูกอ๊อด" อยู่ในน้ำหายใจด้วยเหงือก เมื่อเติบโตเต็มที่แล้วมีปอดหายใจ ขึ้นบกได้ แต่ต้องอยู่ใกล้น้ำ
สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างทั้งภายนอกและภายในอย่างสิ้นเชิง ไปตามวงจรชีวิต ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน้ำ หายใจด้วยเหงือก เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนรูปร่างอาศัยอยู่บนบก หายใจด้วยปอดหรือผิวหนัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งในช่วงระหว่างฤดูหนาวถึงฤดูร้อน ส่วนใหญ่จะขุดรูจำศีล เพื่อหนีความแห้งแล้ง มิให้ผิวหนังแห้ง ถ้าผิวหนังแห้งจะหายใจไม่ได้และตายในที่สุด เพราะก๊าชจากอากาศต้องละลายไปกับน้ำเมือกที่ผิวหนัง แล้วจึงแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต ระยะนี้จะใช้อาหารที่สะสมไว้ในร่างกายอย่างช้า ๆ นิวต์และซาลามานเดอร์ก็เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหมือนกัน แต่แตกตางกันตรงที่นิวต์และซาลามานเดอร์จะยังคงหางของมันไว้ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่
สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกถือเป็นสัตว์เลือดเย็น เช่นเดียวกับสัตว์พวกปลา หรือแมลง หรือสัตว์เลื้อยคลาน ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานสัตว์ในชั้นแล้วกว่า 6,500 ชนิด
วิวัฒนาการของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกถือเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจำพวกแรกที่ขึ้นจากน้ำมาอยู่บนบก โดยวิวัฒนาการตัวเองมาจากปลาในยุคปลายดีโวเนียน (406 ล้านปีก่อน) ในปลาชั้น Sarcopterygii โดยเฉพาะปลาในชั้นย่อย Tetrapodomorpha ที่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์และวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์อย่างอื่นไปแล้ว ก่อนที่จะวิวัฒนาการเป็นสัตว์เลื้อยคลานต่อไป
ภาพแสดงให้เห็นถึงการวิวัฒนาการของปลามาอยู่บนบกจนกลายมาเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และกลายเป็นสัตว์เลื้อยคลานในที่สุด
ตัวอย่าง สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
กะท่าง (ซาลามานเดอร์)
ลักษณะทั่วไป ลักษณะลำตัวคล้ายจิ้งจก ยาวประมาณ 13 - 15 เซ็นติเมตร ด้านหลังมีสีน้ำตาลคล้ำ บนปากและปุ่มบนแผ่นหลังมีแต้มสีเหลือง หางสีส้ม ด้านท้องมีสีส้มจนถึงน้ำตาลเหลือง ที่พบในประเทศไทยมีเพียงชนิดเดียว
ถิ่นอาศัย อาศัยตามแหล่งน้ำบนภูเขาสูงๆในภาคเหนือและอีสานตอนบน เช่นที่ดอยสุเทพ ดอยปุย ดอยอินทนนท์ ดอยอ่างขาง ดอยเชียงดาว ในจังหวัดเชียงใหม่ และที่ภูหลวงในจังหวัดเลย อาศัยอยู่ในป่าดิบเขาที่ระดับความสูง
1,200-2,000 เมตร
อาหาร กินแมงและตัวอ่อนของแมลงเป็นอาหาร ระยะตัวอ่อน(ลูกอ๊อด)จะกินตัวอ่อนหรือลูกอ๊อดกบเป็นอาหารด้วย
การสืบพันธ์ ผสมพันธุ์ในเดือนกันยายน-ตุลาคม โดยจะมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มตามแหล่งน้ำ แอ่งน้ำนิ่ง วางไข่ติดกับพืชน้ำ ลูกอ๊อดจะมีเหงือกเป็นพู่จำนวน 3 คู่
สถานภาพปัจจุบัน สัตว์ป่าคุ้มครอง ที่หายากและใกล้สูญพันธ์ไปจากประเทศไทย เนื่องจากการบุกรุกทำลายป่าไม้บริเวณต้นน้ำ ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัย รวมทั้งการจับมาเป็นสัตว์ทดลอง
กบนา

ถิ่นอาศัย ตามท้องนาและแหล่งที่มีน้ำขังทั่วไป ห้วย หนอง คู คลอง บึง รวมทั้งบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ในช่วงฤดูแล้งจะจำศีลอยู่ในรู
อาหาร กินแมลงและตัวอ่อนของแมลง รวมทั้งสัตว์น้ำขนาดเล็กๆ
การสืบพันธุ์ จับคู่ผสมพันธ์ในช่วงฤดูฝน โดยกจะส่งเสียงร้องเพื่อเรียกหาคู่ ลูกอ๊อดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆตามแอ่งน้ำ